คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการ
รับประทานมะรุมแคปซูล
ข้อมูลทั้งหมดนี้มาจากหนังสือ “รู้ลึกเรื่องมะรุม”รวบรวมโดยคุณ วิไลวรรณ อนุสารสุนทร กรุณาใช้ดุลยพินิจในการรับข้อมูลและพิจารณาก่อนตัดสินใจรับประทานมะรุม
ถาม : ต้นมะรุมที่ปลูกในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่ปลูกในต่างประเทศที่นำมาใช้ในการทดลองหรือไม่
ตอบ : ต้นมะรุมที่ปลูกทั่วไปในประเทศไทย ที่เรียกว่าพันธุ์ข้าวเหนียวเป็นสายพันธุ์ในต่างประเทศที่เรียกว่า “โอลิเฟอร์ร่า” ส่วนสายพันธุ์ที่เรียกว่าพันธุ์กระดูกคือสายพันธุ์ “สเตโนพิเทร่า” เป็นสองสายพันธุ์ที่นำมาใช้ในการทดลองและวิจัยมากที่สุด ส่วนสายพันธุ์อื่นๆไม่สามารถเจริญเติบโตในประเทศไทยไทยได้ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศมีความชื้นสูงเกินไปดังนั้นเรื่องสายพันธุ์จึงไม่ใช่ปัญหา
ถาม : การรับประทานมะรุมแคปซูลมีความปลอดภัยแค่ไหน และมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง
ตอบ : สารทุกชนิดที่ประกอบกันขึ้นเป็นใบมะรุม ไม่มีตัวใดที่ร่างกายของมนุษย์ไม่รู้จัก การดูดซึมและการทำงานของสารอาหารเหล่านี้ย่อมปลอดภัยกว่าสารสังเคราะห์ ใบมะรุมประกอบด้วยสารที่ช่วยต้านอนุมูลอิลสระ( Anti-oxidants) ถึง 46 ตัว ประสิทธิภาพในการต่อต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) ถึง 36 ตัว และนี่คือคำตอบที่ว่า ทำไมมะรุมจึงเป็นอาหารที่ดีที่สุด มะรุมไม่มีผลข้างเคียง แต่มีประสิทธิภาพในการขจัดสารพิษได้เป็นอย่างดี อาจมีอาการเป็นผื่นขึ้นตามลำตัว หรือปวดตามลำตัวในระยะสั้นๆได้ (http://ehealthforum.com) การรับประทานมะรุมผงให้ปลอดภัยนั้นควรแน่ใจว่าแคปซูลทำมาจากใบมะรุมแท้ๆไม่มีพืชสมุนไพรชนิดอื่นหรือส่วนอื่นๆ ของมะรุมเจือปน โดยเฉพาะรากซึ่งมีสารพิษและเป็นอันตรายมาก ถ้าจะมีสิ่งอื่นนอกเหนือไปจากใบมะรุม ผู้ผลิตควรมีใบประกอบโรคศิลป แขนงแพทย์ทางเลือก เป็นผู้ปรุงจึงจะใช้ได้ ต้นมะรุมควรปลูกในดินที่ปลอดสารพิษ และไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง
ในประเทศด้อยพัฒนา เช่น ประเทศแภบแอฟริกาใต้ องค์การอาหารและยาสากล (WHO) และสถานพยาบาลในถิ่นทุรกันดารได้แจกผงมะรุมบริสุทธิ์ที่ทำมาจากใบมะรุมล้วนๆ แก่มารดาที่เลี้ยงลูกด้วยนมของตนเอง สตรีมีครรภ์ และเด็กที่เป็นโรคขาดอาหาร เพื่อนำไปประกอบอาหารที่ใช้บำรุงร่างกายให้แข็งแรงและเสริมสร้างภูมิต้านทานให้อยู่ในภาวะที่สามารถจะต่อต้านและต่อสู้โรคภัยใข้เจ็บได้เป็นอย่างดี (http://www.treesforlife.org) สถาบันโรคหัวใจในอเมริกาค้นพบว่า ในใบมะรุมมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดถึง 19 ชนิด
ถาม : สำหรับผู้เริ่มต้น ควรรับประทานวันละกี่แคปซูล
ตอบ : คำตอบนี้สำหรับแคปซูลที่ทำจากใบมะรุมล้วนๆ เท่านั้น ถ้าท่านชื้อมาจากร้านค้าทั่วไป ผู้ผลิตสินค้านั้นๆ จะเป็นผู้ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันมีการผลิตกันอย่างกว้างขวาง และมีส่วนผสมของงสมุนไพรชนิดต่างๆอีกมากมายปนมาด้วย ทำให้ผลของการใช้เปลี่ยนไป บางชนิดอาจมีผลดี บางชนิดอาจให้โทษ จึงไม่สามารถที่จะตอบให้แน่นอนได้ว่าควรรับประทานเช่นไรในกรณีที่ทำจากใบมะรุมล้วนๆ สำหรับผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปควรรับประทานวันละ 4 แคปซูล คือ เช้า 2 แคปซูล กลางวัน 2 แคปซูล
ถาม : ในหนังสือไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับไต ถ้าเป็นโรคไต การรับประทานมะรุมแคปซูลจำทำให้ได้ดีขึ้นหรือไม่ จะทำให้ไตทำงานหนักขึ้นหรื่อไม่ ถ้าได้ ควรรับประทานครั้งละกี่แคปซูล คุณแม่เป็นโรคไตค่ะ...ส่วนตัวเอง ปวดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ ทำให้ปวดหัวบ่อยมาก อยากลองใช้น้ำมันมะรุม ไม่รุ้จะช่วยเรื่องกล้ามเนื้อได้หรือไม่
ตอบ : มะรุมมีส่วนช่วยบำรุงไตอย่างมาก แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคไตอยู่แล้ว มักมีสาเหตุมาจากการดูดซึมของลำใส้ไม่สามารถทำงานได้ตามปรกติทำให้ไตทำงานหนักและเป็นโรคไตในที่สุด มะรุมมีโปรตีนและโปแตสเซียมสูงมาก กรณีผู้ป่วยเป็นโรคไต การรับประทานมะรุมจะทำให้ไตทำงานหนักขึ้นแม้ตัวมะรุมจะมีส่วนในการช่วยไตก็จริง จึงไม่แนะนำให้รับประทานจนกว่าระบบการดูดซึมของลำใส้จะเข่าสู่ภาวะปกติเสียก่อน
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไตทำงานไม่ปกติ ประการแรกคือ การดูดซึมของลำไส้ทำงานไม่ปกติ สอง ร่างกายสะสมเชื้อราธรรมชาติจากอาหารที่รับประทานเข้าไปทุกวัน เชี้อราแผ่ขยายตามกระเพาะและลำไส้เป็นเยื่อหนาทำให้การดูดซึมของลำไส้ทำงานไม่สะดวก
ข้อแรกเกิดจากการรับประทานอาหารทอด อาหารที่มีไขมันมาก อาหารหวาน ของเหล่านี้จะเข้าไปแปรสภาพเป็นยางเหนียว พอกตามกระเพาะและลำไส้ ทำให้การดูดซึมทำงานยากขึ้นทุกที ถุงน้ำดีทำงานหนัก ส่งผลถึง ไตและหัวใจตามลำดับ การแก้ไขง่ายๆและไม่แพง สามารถทำได้ทุกวันคือรับประทานโยเกิร์ตทุกเช้า จุลินทรีย์ที่มีชื่อไพเราะว่าแล็กโตบาซิลลัส จะเข้าไปกินไขมันเหล่านั้นจนหมด การทำงานของลำไส้จะค่อยๆกลับเข้าสู่ภาวะปรกติแต่การชื้อโยเกิร์ตจากร้านค้า อาจผลิตไว้นานและจุลินทรีย์อาจจะอ่อนแรง เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายซึ่งมีความร้อนจะทำให้จุลินทรีตายก่อนทำงานให้เรา วิธีง่ายๆคือเอาโยเกิร์ตที่ชื้อมาจากร้าน 1 ถ้วย ผสมนมสดธรรมดาในปริมาณเท่ากัน(ถ้าคุณวิตกเรื่องฮอร์โมนให้ใช้นมจิตรลดา นมนี้ได้จากแม่วัวที่ไม่มีการเลี้ยงดูด้วยฮอร์โมน) นมควรอุ่นขนาดที่ใช้นิ้วจุ่มแล้วร้อนพอทนได้ โยเกิร์ตไทยมีความหวานอยู่แล้ว ไม่ควรเติมน้ำตาล เอาโยเกิร์ตและนมผสมให้เข้ากัน ทิ้งไว้ในอุณหภูมิปรกติสักครึ่งชั่วโมง ให้จุลินทรีย์ใหม่มีโอกาศแตกตัวจากการกินไขมันจากนม ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้นมพร่องมันเนย ก่อนดื่มบีบมะนาว 1 ผล คนให้เข้ากันแล้วดื่มให้หมด ในกรณีที่แพ้นมสด เมื่อทำเสร็จแล้วให้วางทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วใส่ตู้เย็นไว้รับประทานในวันรุ่งขึ้น จะช่วยให้การแพ้นมดีขึ้นจนถึงขั้นหายได้ ถ้าทำเช่นนี้เป็นประจำจะทำให้ไตค่อยๆทำงานดีขึ้นประมาณ 1 เดือนก็เริ่มเห็นผล(ดูวิธีทำโยเกิรย์จากหนังสือนาฬิกาชีวิต เล่ม 1 )
กรณีลำไส้ดูดซึมไม่ปกติเพราะเชื้อรา เราอาจจะตรวจไม่พบและไม่ทราบว่ามีมากน้อยเพียงใดในร่างกาย จนกว่าจะสะสมมากๆ และเกิดอันตรายต่อร่างกายแล้ว ซึ่งก็มักจะสายไปทุกที ราเกิดจากอากาศ สิ่งของที่สัมผัส ความชื้นในบ้าน อาหารที่รับประทานเข้าไปทุกวัน อาหารเหล่านั้นบางชนิดประกอบด้วยราที่ใส่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น อัลฟ่าท็อกชิน เป็นต้น วิธีแก้ที่ง่ายที่สุดคือรับประทานผักที่มีเมือกเยอะๆ เช่น กระเจี้ยบเขียว ผักปลัง บวบหอม เป็นต้น รับประทานบ่อยๆ เมือกจากพืชเหล่านี้จะสามารถเข้าไปช่วยฉุดลากเชื้อราออกมาได้ และยังช่วยระบบขับถ่ายได้อย่างดีอีกด้วย
วิธีตรวจสอบง่ายๆ ให้ทราบว่าไตเริ่มทำงานเป็นปกติหรือไม่ ดูได้จากการดื่มน้ำ ควรดื่มน้ำให้มากแล้วปัสสาวะน้อยลง แสดง ว่าการทำงานของไตเริ่มเข้าสู่สภาพปกติ ถ้ามีอาการท้องผูกแสดงว่าดื่มน้ำน้อยไป เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณควรดื่มน้ำให้มากขึ้น หลังจากนั้นคุณก็สามารถรับประทานมะรุมได้ ในกรณีนี้มะรุมจะเข้าไปช่วยเสริมสร้างและบำรุงให้ไตแข็งแรงขึ้น การทำงานของไตก็จะมีประสิทธิภาพดีขึ้นด้วย (http://www.pubmed.gov) น้ำมันมะรุมจะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี(ดูวิธีใช้น้ำมันมะรุมได้จาก มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต หน้า 26) แต่ไม่ได้เป็นตัวรักษานะคะ ตัวที่จะทำให้กล้ามเนื้อคุณแข็งแรงได้ดีคือลูกเดือยค่ะ ควรรับประทานเป็นประจำ หรือน้ำมันที่ทำจากรำลูกเดือยจะมีคุณค่าสูงถึง 20 เท่า แต่ลูกเดือยเป็นของเย็น จึงควรรับประทานควบคู่กับน้ำขิงจะดีมาก
ถาม : ในหนังสือบอกว่า รับประทานใบมะรุมคั้นน้ำ ใบมะรุมผง มะรุมแคปซูล หมายความว่าให้เลือกรับประทานเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งใช้ไหมค่ะ ถ้าในหนึ่งวันเรารับประทานน้ำมะรุม 1 ช้อนโต๊ะแล้ว เราสามารถรับประทานผงมะรุมแคปซูลได้ด้วยหรือไม่ (ในหนังสือบอกว่าถ้ารับประทานมากอาจได้รับธาตุเหล็กมากไปซึ่งอาจเป็นอันตรายได้)
ตอบ : การรับประทานให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ ถ้าคุณดื่มน้ำมะรุมคั้นแล้วก็ไม่ควรรับประทานแคปซูล อะไรที่มากเกินไปบางครั้งก็ไม่เกิดผลดีธาตุเหล็กจะเป็นอันตรายต่อเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตมากกว่าผู้ใหญ่ สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุเกิน 18 – 20 ปี สามารถรับประทานได้ 4 – 8 แคปซูลต่อวัน (จากหนังสือ มะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต)
ถาม:ใบมะรุมผงบริสุทธิ์รับประทานทุกวันติดต่อกันได้หรือไม่ ควรรับประทานกี่เดือน และหยุดกี่เดือน
ตอบ : ใบมะรุมเป็นอาหารที่เข้าไปบำรุงและเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้สมดุลและแข็งแรง การรับประทานติดต่อกันนานๆ ไม่มีผลเสีย ดิฉันรับประทานติดต่อกันนานๆ ไม่มีผลเสีย ดิฉันรับประทานติดต่อกันทุกวันมาแล้วเป็นเวลาถึง 7 ปี โดยอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ร่างกายก็ยังคงสมบูรณ์แข็งแรงดี ถ้าคุณไม่มั่นใจ วิตกเพราะนักโภชนาการทั่วไปไม่แนะนำให้รับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน คุณก็สามารถหยุดหลัง 6 เดือน แล้วกลับมารับประทานใหม่หลังจากที่หยุดไปราว 2 สัปดาห์ก็ได้ค่ะ
ถาม : เมล็ดมะรุมนำมาบดและบรรจุแคปซูลรับประทานได้ไหม
ตอบ : จากการทดลองของแพทย์และนักวิจัยทั่วโลก ให้ความเห็นตรงกันว่าเมล็ดมะรุมมีคุณอนันต์และโทษมหันต์ในตัวของมันเอง การนำเมล็ดมาบดและบรรจุแคปซูลให้โทษมากกว่าให้คุณ เพราะการบรรจุแต่แคปซูลนั้นปริมาณการบรรจุจะต้องใช้เมล็ดที่แห้งสนิทมากกว่า 15 เมล็ดขึ้นไป ผลเสียคือตัวเมล็ดมะรุมมีน้ำมันสูง เมื่อแกะออกจากเปลือกแล้วนำมาบด น้ำมันจะทำปฏิกิริยากับอากาศและเกิดความชื้น อาจทำให้เกิดเชื้อราหรือปฏิกิริยาทางเคมี เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ มีรายงานจากผู้รับประทานบางท่านว่ามีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม
ประการต่อมา เมล็ดมะรุมมีน้ำตาลธรรมชาติสูงมาก เมื่อรับประทาน เข้าไปทุกวันเป็นจำนวนมาก ร่างกายจะมีความร้อนสูง เป็นสาเหตุให้ร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันเกาะตามผนังลำไส้และกระเพาะ และเป็นเหตุให้ระบบการดูดซึมไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ นี่คือสาเหตุของการเป็นโรคเบาหวาน โรคไต และโรคตับ โดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว จะเป็นอันตรายค่อนข้างสูง แม้น้ำตาลจากมะรุมจะเป้นน้ำตาลสายเดียวกับหญ้าหวานก็ตาม การรับประทานอะไรมากๆย่อมไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
เมล็ดมะรุมมีคุณสมบัติพิเศษคือ มียาปฏิชีวนะในตัว ซึ่งหาได้ยากในพืชใบเขียว การรับประทานยาปฏิชีวนะมากๆ เป็นเวลานานย่อมไม่เป็นผลดี ประการสุดท้าย การรับประทานเมล็ดมะรุมเกินขนาดอาจเป็นสาเหตุให้เลือดจับตัวข้น เป็นเหตุให้หัวใจทำงานหนัก การสูบฉีดโลหิตจะเริ่มมีปัญหาและนี่อาจเป้นจุดเริ่มต้นของโรคหัวใจค่ะ เมล็ดนั้นควรนำมาใช้งานด้านที่เป็นประโยชน์อื่นๆมากกว่า การนำเมล็ดมาใช้ผสมกับสมุนไพรตัวอื่นๆ ผู้ผลิตควรเป็นผู้มีความรู้ด้านสมุนไพรอย่างดี เพื่อให้ได้ประโยชน์และความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เมล็ดไม่ควรแกะทิ้งไว้ก่อนใช้งาน ต่อเมื่อต้องการใช้จึงค่อยแกะ การรับประทานเมล็ดควรรับประทานเมื่อ มีความจำเป็นเฉพาะโรค และต้องได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เช่น แพทย์ทางเลือก ถ้าจำเป็นต้องรับประทานควรอยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ การนำเมล็ดมารับประทานเล่นเป็นอันตรายค่ะ
ถาม : วิธีรับประทานมะรุมแคปซูลให้ได้ผลที่ดีที่สุด ควรรับประทานอย่างไร
ตอบ : ควรรับประทานก่อนอาหารสักครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดความอ้วนได้เล็กน้อย ไม่แนะนำให้รับประทานในมื้อเย็น เพราะมะรุมเป็นตัวขับสารพิษ ดื่มน้ำตามสักแก้ว เพื่อช่วยให้แคปซูลไหลลงสู่กระเพาะ กรณีที่มีความดันโลหิตสูงและเบาหวานควรรับประทานหลังอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเวียนศรีษะ
ถาม : มีนักวิชาการชาวไทยและต่างประเทศทำการวิจัยและค้นคว้าไว้บ้างหรือไม่
ตอบ : ในระยะ 20 ปี ที่ผ่านมามีการค้นคว้าและวิจัยไม่หยุดยั้ง เช่น มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้นส์ ในสหรัฐอเมริกา และสถาบันมีชื่อเสียงทั่วโลกทั้งในยุโรปและเอเซีย ในประเทศไทย มีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น ผลการวิจัยสามารถหาอ่านได้ตามหนังสือพิมพ์ชั้นนำทั่วโลก และตามเว็ปไซต์สำคัญๆ หลายเว็ปไซต์ รายการโทรทัศน์ทั่วโลกเริ่ม หันมาสนใจ หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฟิลิปินส์ เยอรมัน อังกฤษ สวีเดน และสหรัฐอเมริกาได้เร่งค้นคว้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในด้านการนำมาใช้ฟื้นฟูร่างกายให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรง เพื่อช่วยบำบัดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคเอดส์ ให้อยู่ในภาวะที่ง่ายต่อการรักษา และอาจจะถึงขั้นหายได้
ถาม : ถ้าอยู่ระหว่างการรักษาพยาบาล และใช้ยาแพทย์แผนปัจจุบันควรหยุดยาหมอหรือไม่ และจะมีผลข้างเคียงอย่างไร
ถาม : มะรุมเป็นพืชที่มีการแต่งสายพันธุ์ใหม่หรือไม่
ถาม : การรับประทานใบสดและใบแห้ง อย่างไหนจะให้ผลดีกว่ากัน
ตอบ : การรับประทานใบสดดี แต่ไม่สามารถรับประทานได้มาก เพราะใบสดจะขับสารพิษมากกว่า เช่น อาการท้องสีย เป็นอาการที่เกิดจากการรับประทานพืชและผลไม้สดทุกชนิด ส่วนใบแห้งรับประทานได้ในปริมาณมากกว่า 10 เท่า ให้ร่างกายรับสารอาหารได้ในจำนวนที่พอเพียง นักค้นคว้าและวิจัยจากหลายสถาบันเห็นพ้องต้องกันว่า ใบมะรุมที่ผ่านกรรมวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้องและถูกสุขลักษณะ สารอาหารจะเสื่อมน้อยที่สุดและ ปลอดภัยมากที่สุด (ดูกรรมวิธีการเก็บรักษามะรุมได้จากหนังสือ มะรุม ต้นไม้เพื่อชิวิต)
ถาม : แคลเซียมที่ได้จากการรับประทานมะรุมทำไมจึงดีกว่าแคลเซียมสังเคราะห์
ตอบ : แคลเซียมที่ได้จากมะรุมเป็นสารจากธรรมชาติ ใบมะรุมมีแร่ธาตุทุกตัวที่ร่างกายต้องการ ในการย่อยสลายแคลเซียมเพื่อดูดซึมร่างกายต้องการตัวประกอบหลายตัว เข่น โปแตสเซียม แมกนีเซียม วิตามินเค และดีเป็นต้น ทั้งยังเสริมสร้างมวลกระดูกจากภายในข้อกระดูกออกมาสู่ภายนอก ส่วนแคลเซียมสังเคราะห์มักจะไม่มีแร่ธาตุสำคัญเหล่านี้รวมอยู่ด้วย ร่างกายจะย่อยสลายสารสังเคราะห์เหล่านี้ได้ยาก จึงมักขับออกมากกว่าจะได้ไปใช้งาน อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างมวลกระดูกจากภายนอก จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกงอก
ถาม : ใบมะรุมสดหรือแห้งรักษาโรคเบาหวานได้หรือไม่
ตอบ : โรคเบาหวานเกิดจากตับอ่อนและม้ามทำงานไม่สมดุล ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินตามปกติได้ ใบมะรุมไม่ใช่ยา แต่เป็นอาหารที่มีประสิธิภาพในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ช่วยควบคุมการทำงาน ทำให้ส่วนต่างๆของร่างกายกลับมาทำงานปกติ และเกิดความสมดุล การรับประทานมะรุมอย่างสม่ำเสมอย่อมสามารถช่วยควบคุมอาการเบาหวานให้อยู่ในภาวะปกติจนอาจหายขาดได้ ในหลายๆ ประเทศมะรุมมีบทบาทสำคัญในการช่วยผู้ป่วยเบาหวานมาแล้ว (http://www.pubmed.gov) มีผู้บริโภคหลายท่าน แจ้งมาว่าการรับประทานมะรุมอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ช่วยควบคุมเบาหวานได้เป็นอย่างดี แต่ท่านต้องควบคุมตัวเองด้วย เช่น ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดด้วย
ถาม : มะรุมสามารถช่วยชะลอความชราได้หรือไม่ รักษาแผลเป็นได้ไหม
ตอบ : การรับประทานพืชที่มีวิตามินสูงสามารถชะลอและช่วยควบคุมการเสื่อมของร่างกายได้ มะรุมมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เช่น วิตามิน เอ ซี อี เค และไบโอฟลาวโอนนอย น้ำมันมะรุมมีประสิทธิภาพสูงในการบำรุงรักษาผิวหน้าให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย และช่วยสมานรอยแผลเป็นบนใบหน้าที่เกิดจากสิวได้ น้ำมันมะรุมยังช่วยสมานแผลผ่าตัดได้ดีด้วย
ถาม : ถ้ารับประทานมะรุมแล้ว สามารถรับประทานสมุนไพรชนิดอื่นๆด้วยได้หรือไม่
ตอบ : จากการสำรวจและวิจัยของแพทย์ทางเลือกทั่วโลก เห็นพ้องต้องกันว่าการรับประทานสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันย่อมไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด นอกจากจะหักล้างคุณนค่าของกันและกันแล้วยังสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ การรับประทานอะไรมากเกินไปไม่เกิดผลดีเสมอไป
ถาม : กินเมล็ดมะรุมกี่เดือนครับถึงจะลดเชื้อ HIV/AIDS ได้
ตอบ : การรับประทานเมล็ดมะรุมล้วนๆต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ทางเลือกผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะเมล็ดมะรุมมีอันตรายสูง คนไข้ที่รับประทานเมล็ดมะรุมในหนังสือมะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิตนั้น อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดจึงได้ผลดี การรับประทานตามคำบอกเล่ามีอันตรายมากเพราะเมล็ดมะรุมมีน้ำตาลสูง อาจทำให้เลือดข้นได้ ผู้เขียนแนะนำให้ผู้ป่วยทั่วไปรับประทานใบมะรุมผงบริสุทธิ์ หรือใบมะรุมผงบริสุทธิ์บรรจุแคปซูลที่แน่ใจว่าเป็นใบมะรุมล้วนๆไม่มีส่วนผสมของส่วนอื่นๆ แม้แต่เมล็ดของมะรุม เพราะส่วนผสมอื่นอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยทุกโรคได้ ในกรณีผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์ควรรับประทานดังนี้
ใบมะรุมผงชนิดบดละเอียดวันละ 3 ช้อนโต๊ะ คือ มื้อละ 1 ช้อนโต๊ะ ถ้าเป็นแคปซูล รับประทานวันละ 12 แคปซูล หรือมื้อละ 4 แคปซูล
ถ้าจะให้ได้ผลดี ควรรับประทานขณะท้องว่าง คือ ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนอาหาร แต่บางท่านอาจมีอาการเวียนศีรษะ ในกรณีนี้ให้รับประทานหลังอาหาร
การรับประทานมะรุม ต้องรับประทานร่วมกับสมุนไพรอีก 2 ใน 7 ตัวที่แนะนำไว้ในหนังสือมะรุม ต้นไม้เพื่อชีวิต เช่น มะนาว กระเทียม เป็นต้น
หลังรับประทานอาจจะมีอาการท้องเสีย ปวดตามเนื้อตัว หรือมีอาเจียนร่วมด้วย อาจมีผื่นขึ้นตามลำตัว แขนและขา อาการเหล่านี้จะหายไปในเวลาสั้นๆแพทย์ผู้รักษาจะให้คำแนะนำได้อย่างดี
ระยะเห็นผลนั้นจะเริ่มเห็นได้ราวๆ 1 เดือนผ่านไป คือจะมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ผิวพรรณดูสดใสขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น การดูแลและแนะนำจากแพทย์แผนปัจจุบันหรือแพทย์ทางเลือกผู้เชี่ยวชาญจะมีส่วนทำให้หายจากโรคและปลอดภัยกว่าการรักษาตัวเอง เพราะผู้ป่วยด้วยโรคร้ายมีโอกาสเป็นโรคแทรกซ้อนได้ง่าย โดยเฉาะท่านที่มีอาการดังกล่าวข้างต้นมาแล้ว
โดยทั่วไปมักจะเห็นผลชัดเจนหลัง 3 เดือนผ่านไป ใบมะรุมผงนี้ผู้ป่วยควรรับประทานตลอดชีวิต เพราะร่างกายของท่านไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ การรับประทานต่อเนื่องจึงมีความสำคัญ การหยุดรับประทานหลังจากอาการดีขึ้นนั้น เมื่อร่างกายผู้ป่วยใช้สารอาหารที่ได้รับจากมะรุมหมดแล้วก็จะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีกทันที ดังนั้นการดูแลตนเองหลังจากอาการเป็นปกติและการพบแพทย์ตรวจร่างกายเป็นประจำจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การรับประทานมะรุมผงสามารถลดจำนวนลงได้ถ้า CD 4 อยู่ในระดับปรกติ คือ วันล่ะ 8 แคปซูล หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน
ถาม : อยากทราบว่าทำไมรับประทานแกงส้มมะรุมแล้วเกือบตาย มีผื่นลมพิษขึ้น แต่ไม่ได้สนใจ ตอนหลังๆ เมื่อรับประทานอีกจะมีผื่นขึ้นทั้งตัว แสบและเจ็บปวด ผิวเริ่มมีสีแดงทั้งตัว ไม่นานก็หมดสติจนต้องส่งโรงพยาบาลเป็นการฉุกเฉิน หมอวินิจฉัยว่ามีอาการแพ้เฉียบพลัน โชดดีที่มาโรงพยาบาลทันท่วงที เพราะถ้าแพ้มากๆ อาจมีปัญหารุนแรงได้
ตอบ : ในเรื่องการแพ้มะรุมของคุณนั้น ดิฉันยังไม่สามารถตอบให้แน่นอนได้ว่าเกิดจากอะไร แต่ขอตอบพอสังเขปดังนี้ค่ะ
1.มะรุมเป็นพืชที่มีประสิทธิภาพในการขับสารพิษ ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากการขับสารพิษของมะรุมก็เป็นได้ การขับสารพิษจะออกมาในรูปคล้ายลมพิษ คือขึ้นผื่น มีอาการคันเป็นส่วนใหญ่ มักจะหายไปในเวลาอันรวดเร็ว หรืออาจขึ้นอยู่นานหลายวันแล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคนเมื่อเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว ควรสังเกตว่าครั้งต่อไปเมื่อรับประทานแกงส้มมะรุม แล้วเกิดผื่นอีกหรือไม่ ถ้ามีและมากขึ้น และมีอาการอื่นๆ ตามมา เช่นเวียนศรีษะ ผิวแดง เป็นผื่นมากเกินควร ตัวร้อน ควรเลิกรับประทานทันที
2.สาเหตุอาจจะมาจากยาฆ่าแมลงที่เจ้าของสวนมะรุมใช้เกินขนาดสะสมอยู่ในฝักมะรุม ผู้ทำอาหารไม่ได้ล้างให้สะอาดก่อนนำมาปรุงอาหาร เพราะเวลาไม่อำนวยและไม่เห็นความสำคัญที่ล้างให้สะอาดประกอบกับร่างกายคุณมีสารพิษชนิดนี้สะสมเป็นทุนอยู่แล้ว จึงเกิดปฏิกิริยาเฉียบพลัน อันนี้ค่อนข้างอันตรายมาก อาจเกิดจขึ้นได้ทุกเวลา คุณควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการแก้ไขปัจจุบันทันด่วนก่อนไปถึงแพทย์ เช่น การใช้ยาแก้แพ้ระงับทันที ถ้าจะถามว่า ทำไมคนอื่นๆ ที่รับประทานพร้อมกันจึงไม่เป็น ร่างกายของคนเรามีภูมิต้านทานแตกต่างๆกัน คุณอาจจะเป็นคนที่มีภูมิต้านทานต่ำกว่าคนอื่น และสะสมสารพิษมากกว่าคนอื่น
3.จากการวิจัยของแพทย์ทางเลือกในอินเดียพออนุมานได้ว่าเปลือกของฝักมะรุมมีสารชนิดหนึ่งที่อาจทำให้ผู้บริโภคมีอาการเวียนศรีษะและอาเจียนได้ ดังนั้นคนโบราณจึกมักปอกเปลือกมะรุมให้หมดก่อนนำมาปรุงอาหารแม่ค้าปัจจุบันมักรีบร้อน และการปลอกเปลือกออกยังทำให้ปริมาณน้อยลงอีกด้วยจึงเอาสะดวกเข้าว่าโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา ผลเสียจึงตกอยู่ที่อยู่บริโภคคุณอาจเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ที่แพ้นั้นค่ะ
4.คุณอาจจะมีอาการแพ้ฝักมะรุมอย่างแท้จริง ซึ่งค่อนข้างหาได้ยากแต่ไม่ใช่เกิดขึ้นไม่ได้ ดีมากที่คุณส่งคำถามมา ถึงแม้จะไม่ส่งโดยตรงมาถึงดิฉัน ข้อนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคท่านอื่นๆ เป็นอย่างมากค่ะ ตอนนี้ยังหาวิธีแก้ไขไม่ได้ วิธีเดียวที่จะแนะนำได้คือ หลีกเลี่ยงการรับประทานฝักมะรุมทุกรูปแบบ ในกรณีของคุณ ดิฉันไม่แนะนำให้ลองเพราะอันตรายสูงเปอรเซ็นต์เสี่ยงสูงมาก ไม่คุ้มกัน การแพ้ของคุณนั้นดิฉันสันนิษฐานว่ามาจากเปลือกของฝัก เท่าที่ทราบมาเปลือกมีสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ฉะนั้นการรับประทานมะรุมจึงนิยมปอกเปลือกให้หมด หรือขูดเอาแต่เนื้อมาใช้จะปลอดภัยกว่าค่ะ
5.ประการสุดท้าย ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เธอเล่าว่า หลังจากรับประทานแกงส้มมะรุมก็มีอาการผื่นขึ้นตามมือ ปากเริ่มเป็นสีม่วง ตามแขนเริ่มมีสีคล้ำ ลิ้นชาและรู้สึกกว่าลิ้นคับปาก เลือดวิ่งพล่านไปทั้งตัวหัวใจบีบแล้วหยุดตลอดเวลา ครอบครัวรีบเอายาจากแพทย์กรอกให้อาเจียนออกให้มากที่สุด (ถ้าไม่มียา ไข่ขาวก็ใช้ได้ค่ะ) จากนั้นนำส่งโรงพยาบาล หลังการตรวจอย่างละเอียดจากโรงพยาบาลวิชัยยุทธ แพทย์สรุปว่า ผู้ป่วยไม่ได้มีอาการแพ้พืชผัก แต่น่าจะมาจากแพ้สารเคมีที่มากับปลาที่ใช้ทำแกงส้มมากกว่า พิษที่มากับปลามีความรุมแรงเท่ากับพิษของผึ้งที่ต่อยคนจนถึงตายตามที่เคยเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์มาแล้ว นับวันเราจะพบผู้ป่วยจากสารแปลกปลอมที่ปนมากับอาหารมากขึ้นทุกวัน และทวีความรุมแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คงจะมีสักวันที่ทางราชการจะหันมามองมหันตภัยเงียบ ออกมาตรการควบคุมและให้การศึกษาเรื่องการใช้สารเคมีอันตรายกับอาหาร เพื่อความปลอดภัยของประชาชนก่อนจะเกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้
ถาม : อยากทราบว่าจะหาซื้อมะรุมตราพี่จุกได้ที่ไหน
ตอบ : ติดต่อซื้อได้ที่ คุณเจี๊ยบ 089-7716647 หรือ Line ID : maroomthai หรือ คุณ แทน 089-7719005 หรือที่ Line ID :maroomthai.com
ผลิตภัณฑ์มะรุมทุกชนิดบนเว็บไซต์นี้ไม่มีผลในการรักษาโรคใดๆทั้งสื้น
ลูกค้าโปรดใช้การพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ
เพราะหากซื้อไปแล้ว เราไม่รับคืนสินค้า
ตรวจสอบราคาได้ที่ => http://34ac63a6.linkbucks.com